ปัญหาของเกษตรกร ยังเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกและยังคงดำรงอยู่อย่างนั้นในทุกยุคทุกสมัย เกษตรกรไทยยังไม่เคยหนีพ้นวังวนปัญหาเดิมๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาหนี้สิน ราคาผลผลิตตกต่ำ ขาดอำนาจต่อรองในระบบเศรษฐกิจทุนนิยม มิหนำซ้ำยังถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายทุนที่มีอำนาจทางการเงินสูงกว่า ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นผู้มีรายได้น้อยของประเทศที่เติบโตด้วยผลผลิตทางเกษตรกรรม กลายเป็นชนชั้นรากหญ้าที่ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ง่ายๆ
โครงการสมาร์ทฟาร์มเมอร์ หรือเกษตกรปราดเปรื่อง เป็นอีกหนึ่งโครงการความหวังของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ต้องการยกระดับเกษตรกรไทย เริ่มมาตั้งแต่ยุค ยุคล ลิ้มแหลมทอง เป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในช่วงปลายปี 2556 มีเป้าหมายของโครงการก็คือเกษตรกรต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1.8 แสนบาท/ปี หรืออย่างน้อย 300 บาท/วัน แต่ที่น่าตระหนกและต้องกลับมาทบทวน เมื่อกรมส่งเสริมการเกษตร รายงานว่า ผลการสำรวจของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) สรุปผลคัดกรองเกษตรกรตามคุณสมบัติจากจำนวนแรงงานภาคเกษตร 17 ล้านราย (ปี 2559 ) พบว่า มีเกษตรกรผ่านคุณสมบัติเพียง 9.6 แสนรายเท่านั้น ที่เหลือยังไม่ผ่านเกณฑ์
2 มุมมอง "สมาร์ทฟาร์มเมอร์"
ผลจากการตรวจสอบและพูดคุยของคนทำเกษตรจริง มีผลออกมาเป็นเหรียญสองด้าน โดยพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ที่เข้าโครงการมักจะก้าวผ่านความยากจนและหลายคนเริ่มขยายพื้นที่เพาะปลูก โดยมีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลัก และการเรียนรู้จากสมาร์ทฟาร์มเมอร์มาเป็นฐานเพิ่มองค์ความรู้ ในขณะที่อีกส่วนใหญ่ของประเทศยอมรับว่า การเปลี่ยนเป็นเรื่องยาก เพราะยังขาดความมั่นใจเรื่องรายได้ที่จะหล่อเลี้ยงครอบครัว และยังไม่พร้อมจะปรับตัวด้วยเหตุผลที่ต้องรับฟัง
พัฒน์พงษ์ มงคลกาญจนกุล อาชีพไร่นาสวนผสม อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี หนึ่งในเกษตรกรที่เข้าอบรมโครงการสมาร์ทฟาร์มเมอร์ เล่าว่า ก่อนหน้านั้นทำเกษตรเชิงเดี่ยว คือ ปลูกข้าวโพด 21 ไร่ แต่เป็นหนี้มาตลอด ไม่เคยปลดหนี้ได้ เพราะระหว่างรอผลผลิตไม่มีรายได้เข้าบ้านมีแต่ต้องจ่ายออกทุกวัน
เมื่อเข้าโครงการสมาร์ทฟาร์มเมอร์ และทำสวนแบบผสมผสาน โดยนำแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวง รัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ ทำให้มีรายได้เข้าบ้านทุกวันจากการขายไข่ เห็ด ผัก โดยไม่ต้องรอขายข้าวโพดอย่างเดียว จนขณะนี้มีการขยายพื้นที่ทำไร่นาสวนผสมเป็น 39 ไร่ และเป็นศูนย์เรียนรู้กับเกษตรกรด้วย
พัฒน์พงษ์ กล่าวว่า การที่เกษตรกรส่วนมากไม่ยอมที่จะปรับปรุง หรือเปลี่ยนรูปแบบการทำการเกษตร มาจากความกลัว ไม่มั่นใจ เกรงว่าหากเปลี่ยนแล้วจะทำไม่ได้ ล้มเหลว และสุดท้ายก็ต้องกลับมาที่เดิม ในฐานะที่ผ่านมาแล้ว ก็อยากสื่อให้รู้ว่า ในช่วงแรกเราอาจจะต้องยอมปรับตัวบ้าง แต่เมื่อเริ่มไปได้สักระยะ เราจะเริ่มเห็นหน้าเห็นหลัง อย่างน้อยมีรายได้เข้ามาทุกวัน
อย่างไรก็ตาม วิเชียร พวงลำเจียก แกนนำเกษตรกรชาวนาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สะท้อนอีกมุมมองหนึ่งว่า ยอมรับว่าชาวนาส่วนใหญ่ไม่ยอมเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นเพราะไม่กล้าทำ เนื่องจากไม่คุ้นเคย และเกรงจะทำไม่ได้ และพื้นที่นาไม่เหมาะกับการปลูกพืชอื่น โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มหรือในพื้นที่ชลประทานของเขา
ปัญหาสำคัญ คือ ปัญหาที่ดินซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เช่า ทำให้เกษตรกรไม่กล้าที่จะปรับเปลี่ยนอาชีพตามคำแนะนำของกระทรวงเกษตรฯ เพราะไม่มั่นใจรายได้ และจะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า เพราะปัจจุบันผู้ให้เช่าไม่ง้อเกษตรกร เนื่องจากสามารถจ้างผลิต จ้างปลูกได้โดยไม่ต้องลงมือเอง ดังนั้นไม่ว่ารัฐจะวางโครงการอะไรก็ยาก เพราะที่ดินไม่ใช่ของเกษตรกรเองกว่า 60% เป็นพื้นที่เช่าทั้งสิ้น
เรียนรู้ต่อยอดสู่เกษตรกรยุคใหม่
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มคนที่ไม่ได้เป็นเกษตรกรโดยตรง แต่สามารถเข้าสู่อาชีพเกษตรกรได้จากการเรียนรู้ และกล้าลงมือทำจนประสบผลสำเร็จด้วยดี
ขณะที่ ปรีดาธพันธุ์ จันทร์เรือง อายุ 41 ปี ชาวนายุคใหม่ จ.ชัยนาท ซึ่งโด่งดังในโลกออนไลน์ขายข้าวได้ตันละ 8 หมื่นบาท เจ้าของรางวัลสมาร์ทฟาร์มเมอร์ไทยแลนด์ ปี 2558 กล่าวว่า ตัวเขาลาออกจากงานในตำแหน่งผู้จัดการด้านบรรจุภัณฑ์ และมาทำนาเมื่อต้นปี 2557 เริ่มที่การศึกษาตลาด พบว่าคนสนใจสุขภาพ แล้วไปศึกษาว่าข้าวชนิดไหนมีคุณสมบัติเป็นยา มาสรุปที่ 3 ชนิด คือ ข้าวสินเหล็ก ข้าวไรซ์เบอร์รี่ และข้าวหอมมะลิ และเลือกการปลูกแบบเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม และสร้างแบรนด์ของตนเองขึ้นมา
จากนั้นจึงเริ่มเข้าไปขายในโลกออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊กและไลน์ รวมถึงการเข้าโครงการผูกปิ่นโต ที่โครงการจะหาเจ้าบ่าวคือผู้ซื้อมาหา เราคือเจ้าสาว ซึ่งส่วนมากมีลูกค้าเป็นกลุ่มรักสุขภาพ และในช่วง 2 ปีนี้ เติบโตมาก ทำให้มีการจองข้าวล่วงหน้า 1-3 ปี จำหน่ายในกิโลกรัมละ 80 บาท ผู้จองต้องโอนเงินล่วงหน้า จากนั้นจะมีการรายงานผลการปลูกผ่านไลน์และเฟซบุ๊ก
“ผมว่าทางรอดของเกษตรกร คือ เราต้องมองว่า ตลาดคือใคร อยู่ที่ไหน และวิ่งไปหาลูกค้า และหาสินค้าที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งชาวนารุ่นพ่อแม่อาจจะเปลี่ยนยาก แต่รุ่นลูกหรือเยาวชนหากสนใจผมว่าจะไปได้เร็ว เพราะขณะนี้การขายผ่านระบบออนไลน์ทำได้ง่ายขึ้น สิ่งสำคัญคือการรักษามาตรฐาน” ปรีดาธพันธุ์ กล่าว
ขณะที่ วิภาวริศ เกตุปมา เจ้าของไร่ธารตาดหมอก กล่าวว่า เหตุผลที่หันมาทำนาแบบเกษตรอินทรีย์ เพราะทฤษฎีที่ในหลวงทรงคิดค้นและพัฒนาขึ้นเป็นสิ่งที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เสมอ เพียงแต่เราจะน้อมนำมาใช้ด้วยความเข้าใจ และเห็นถึงประโยชน์ของทฤษฎีนั้นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งในส่วนของตัวเราเองจะเติบโตอย่างยั่งยืนไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้จักคำว่าอยู่อย่างพอดีและดีพอ รวมไปถึงการกตัญญูรู้คุณต่อทุกสิ่ง
ในส่วนของไร่ธารตาดหมอกได้ทำการปลูกข้าวหอมมะลิแบบเกษตรอินทรีย์ จำนวน 2 งาน และยังมีการปลูกสตรอเบอร์รี่ ผักสลัด มะเขือเทศ เสาวรส เลมอน กล้วย มินต์ หญ้าหวาน และพืชผักสวนครัวต่างๆ ไว้บริโภคในครัวเรือน แบ่งปัน และขายให้แก่กลุ่มผู้บริโภคที่นิยมสินค้าเกษตรอินทรีย์ด้วย
ด้าน สุนทร งามเกิดศิริ ประธานกรรมการ บริษัท ฟาร์มสุข ผู้จัดจำหน่ายข้าวกล้องออร์แกนิกสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน ฟาร์มสุข กล่าวว่า จุดเริ่มต้นความคิดการทำข้าวกล้องออร์แกนิกสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน เกิดจากต้องการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและไม่ต้องการส่งเสริมให้ใช้ยาฆ่าแมลง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้สุขภาพชาวนาไม่ดี ดังนั้นสินค้าที่นำมาจำหน่ายจึงเป็นข้าวกล้องออร์แกนิก เพื่อส่งเสริมการปลูกดังกล่าวทางอ้อม
ทั้งนี้ ปัญหาของสินค้าเกษตรไทย คือ ขาดการสร้างมูลค่าเพิ่ม จึงเผชิญกับราคาสินค้าตกต่ำมาตลอด บริษัทจึงนำหลักของการเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์มาใช้ นำเทคโนโลยีมาผสมผสานกับสินค้านำไปสู่สินค้าเกษตรแปรรูป โดยมองถึงการพัฒนาสินค้าต้องสอดรับกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคคนไทยที่เร่งรีบ ต้องการสินค้าเพื่อสุขภาพด้วย การพัฒนาสินค้าเกษตรแปรรูปผลักดันให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น ในแต่ละปีบริษัทซื้อข้าวกล้องออร์แกนิกจากชาวนา 50-100 ตัน นอกจากนี้ยังมองถึงการต่อยอดข้าวไทยไปสู่การผลิตสินค้าสกินแคร์ เครื่องสำอาง ครีมกันแดด และครีมทามือ
ท่ามกลางกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว การพัฒนาด้านการเกษตรก็จำเป็นที่จะต้องปรับตัวให้ก้าวสู่การเกษตรยุคใหม่ที่สามารถตอบสนองตลาด พร้อมกับยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรให้หลุดพ้นกับปัญหาที่เป็นอยู่ แน่นอนว่าเกษตรกรต้องใช้เวลาในการปรับตัวและปรับเปลี่ยนทัศนคติ และที่สำคัญ คือ การสนับสนุนการแก้ปัญหาจากภาครัฐอย่างจริงจังและจริงใจ