Work-life balance คือแนวคิดการสร้างความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว ไม่ว่าใครก็อยากทำให้ได้ ถ้าให้พูดกันตรงๆ เราทำงานก็เพื่อที่จะหารายได้เลี้ยงชีพก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต เพราะทุกคนย่อมมีเรื่องส่วนตัวและความจำเป็นในชีวิตที่แตกต่างกันไป ดังนั้นการที่เราจะหาความสมดุลก็ไม่จำเป็นที่ต้องเท่ากันเสมอไประหว่างเรื่องทำงานกับเรื่องส่วนตัว สิ่งสำคัญก็คือต้องหาจุดที่ “พอดี” สำหรับตัวเองให้พบ เรามาดูกันดีกว่าว่าทำอย่างไรถึงจะเจอ Work-life balance ในแบบฉบับของตัวเอง
เป็นข้อแรกที่ถือว่าสำคัญเป็นอย่างมาก หลายๆ คนไม่สามารถจัดการกับเวลาได้ ไม่รู้ว่าสิ่งไหนควรทำก่อนหรือทำหลัง งั้นมาจัดการตัวเองกันก่อน เริ่มจากจดบันทึกงานหรือนัดหมายลงปฏิทิน จัดลำดับความสำคัญของงานให้ชัดเจน ระบุวันเวลาที่จะต้องทำงานให้เสร็จ เผื่อที่ไว้สำหรับงานแทรก แล้วดำเนินการตามตารางที่วางไว้ การบริหารเวลาอย่างเป็นระบบก็จะทำให้เกิดคุณภาพในชีวิตมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญอย่าลืมแบ่งเวลางานกับเวลาส่วนตัวออกจากกันอย่างชัดเจน เวลาอยู่ที่ทำงานก็จดจ่ออยู่กับงาน ตัดเรื่องส่วนตัวออกไป เช่นเดียวกันเวลาอยู่บ้านก็ควรละทิ้งเรื่องงานแล้วใช้เวลามอบความสุขให้กับตัวเองและครอบครัวให้มากที่สุด
มีหลายๆ คนที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ อยู่ OT ยาวๆ แบบไม่สนใจว่าร่างกายจะต้องทำงานหนักสักแค่ไหน ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ บอกเลยว่า เงินที่เราหามาทั้งหมด ก็คงไม่พ้นต้องเอาไปรักษาตัวเองแน่นอน มีเคสที่ทำงานจนหัวใจวายคาโต๊ะทำงานให้เห็นกันอยู่บ่อยๆ นั่นคือสิ่งที่คุณต้องการอย่างนั้นหรือ? ทางทีดี่ควรวางงานลงบ้าง แล้วหันมาใส่ใจสุขภาพ เปลี่ยนจากกินอะไรก็ได้ง่ายๆ เร็วๆ มาเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น แบ่งเวลาช่วงวันหยุดหรือหลังเลิกงานไปออกกำลังกายอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2-3 วัน หาเวลาผ่อนคลายทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง จิบกาแฟตามคาเฟ่ ฯลฯ นอกจากสุขภาพกายและใจจะแข็งแรงแล้ว ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานได้ดีกว่าการเป็นมนุษย์บ้างานที่ไม่ยอมหยุดพักอีกด้วย
บางทีเราไม่จำเป็นต้องให้ทุกชิ้นงานสำเร็จแบบสมบูรณ์แบบตลอดเวลา เพราะนั่นจะสร้างความกดดันให้ตัวคุณโดยอัติโนมัติ พาลให้คุณต้องทุ่มเวลาทั้งหมดให้กับงาน แนะนำให้ลองพิจารณาดูก่อนว่างานชิ้นนี้ต้องเสร็จสมบูรณ์ขนาดไหน มีใครที่จะช่วยแบ่งเบาหรือร่วมโปรเจ็คกับคุณได้บ้างไหม ถ้าสุดท้ายแล้วมันเป็นงานที่คุณต้องทำให้เสร็จอย่างสมบูรณ์ที่สุดด้วยตัวเอง ขอแค่คุณทำให้เต็มที่และตั้งใจมากที่สุดเท่าที่คุณทำได้ก็พอแล้ว เท่านี้งานก็จะออกมาดีเพราะคุณไม่กดดันตัวเอง และไม่ทำให้สภาวะจิตใจตัวเองต้องย่ำแย่เพียงเพราะคำว่าต้อง “Perfect” แล้วครับ
ข้อสุดท้ายการที่เรามองทุกสิ่งทุกอย่างในแง่ดี ไม่ว่าจะเป็นงานหรือการใช้เวลาส่วนตัว ย่อมส่งผลให้ชีวิตมีความสุข บางคนที่ชอบมองโลกในแง่ลบต่อให้จัดการชีวิตดีแค่ไหนก็ยังไม่เจอความสมดุล เช่น มองงานที่ทำเป็นปัญหายุ่งยากหรือเป็นตัวร้ายที่พรากเอาเวลาและความสุขในชีวิตไป ก็จะเจอแต่เรื่องทุกช์ใจ ทำงานอะไรก็ไม่มีความสุข เราต้องเปิดใจตัวเองก่อนว่าโลกใบนี้ไม่มีอะไรที่เลวร้ายเสมอไป การที่เรายอมรับคนอื่น ยอมรับความเป็นจริงแล้วปรับมุมมองของตัวเอง คุณก็จะได้พบแต่พลังงานดีๆ เจอคนดีๆ แค่นี้ชีวิตก็เป็นสุขและสมดุลขึ้นมาอีกขั้นแล้วครับ
การมี Work-Life Balance ที่ดีนั้นไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน ความสมดุลเป็นความพอใจของแต่ละคน ซึ่งทุกคนสามารถค้นหาจุดที่พอดีของตัวเองได้ ขอแค่ลงมือทำ หางานที่ตัวเองถนัด รักในงานที่ทำ และสิ่งหนึ่งที่จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น คือการที่เราได้ทำประกันสุขภาพให้กับตัวเอง อย่างประกันสุขภาพได้หมด จากแมนูไลฟ์ ที่ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองสุขภาพแบบเหมาจ่าย รวมไปทั้งความคุ้มครองชีวิต เพื่อยกระดับความสมดุลให้กับชีวิต และเราหวังว่าทุกคนๆ จะได้เจอกับ Work-Life Balance ของตัวคุณเองในเร็วๆ นี้นะครับ