
วิถีชีวิตของคนไทย
วิถีชีวิตของคนไทย คือ มนุษย์ที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข การดำรงชีวิตของคนไทยที่มีความสัมพันธ์กับวัด วัดเป็นสถานที่ที่คนไทยเคารพนับถือ
ในอดีต วัดไม่เป็นเพียงสถานที่สำคัญสำหรับชาวพุทธ แต่เป็นสถานที่ที่สอนความรู้กับคนไทย พระเปรียบเสมือนครูที่ให้ความรู้กับนักเรียน โรงเรียนวัดมีอยู่ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทยพระเป็นเป็นสิ่งที่คนไทยสัทธา
ดังนั้น วัดจึงเป็นสถานที่สำคัญสำหรับชีวิตคนในอดีต เพราะคนไทยสามารถพัฒนาความรู้ที่ดี สำหรับในการอาศัยอยู่ในสังคม ระหว่างการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ สมัย ร.๕ ได้มีชาวต่างชาติเข้ามาทำการค้าในไทยจำนวนมาก ดังเช่น การเข้าศึกษา โรงเรียนรัฐบาลจะถูกสร้างบริเวณด้านนอกวัด สาสนาพุทธมีผลต่อในชีวิตของคนไทยมาก จากจุดเริ่มต้น จนถึงจุดจบของชีวิตและวัดเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับการทำพิธีกรรมตามทางศาสนาพุทธ
เริ่มแรก ทุกๆเช้า เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 6.00 – 7.00น พระจะออกเดินทางจากวัดเพื่อมาบิณฑบาตจากชาวบ้าน เพื่อเป็นอาหารสำหรับมื้อเช้าและมื้อกลางวัน
ข้อสอง เมื่อเด็กเกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่จะไปหาพระที่วัดในหมู่บ้านเพื่อข้อคำแนะนำ การตั้งชื่อของเด็กที่เกิดใหม่ เมื่อถึงวันเกิดแล้ว พ่อแม่จะมาลูกไปทำบุญที่วัด เลี้ยงอาหาร หรือ บริจาคสิ่งของ
เมื่อถึงจุดจบของชีวิต
ร่างกายจะถูกเก็บไว้ที่วัดชั่วคราว ระหว่าง 7วันหรือน้อยกว่า หลังจากฌาปนากิจส่วนหนึ่งเสร็จยังคงเก็บส่วนหนึ่งเก็บรักษาไว้ในโกศที่เจดีย์ในวัด
วัดมีส่วนรวมวิถีชีวิตของสังคม พระท่านได้ค้นพบสมุนไพร และวิธีการบำบัดยาเสพติด ที่มีประสิทธิมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ วัดเป็นสถานที่ตั้งที่น่าสนใจและผลิตยาสมุนไพรและเป็นสถานที่สำหรับบำบัดยาเสพติด
แต่พระท่านไม่เป็นเพียงผู้ที่ดูแลรักษาโรค ท่านยังให้การบริการอย่างดีสำหรับผู้ที่มีทุกข์ ,ทรมาน, กระวนกระวาย, สับสน, หรือ เสียสติ เมื่อพวกเขารู้สึกไม่มีความสุขพวกเขาจะไปวัดเพื่อทำจิตใจให้สงบ
เรื่องราวในเศรษฐกิจ ศาสนาพุทธมีบทบาทต่อประเทศไทย ศาสนาสอนให้รู้จักการดำรงชีวิตอยู่อย่างพอเพียง และในครอบครัวอย่างเหมาะสม
นอกจากนั้น วัดศาสนาพุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชนบทให้เป็นเครื่องเตือนสติ ความสามารถในการใช้สมุนไพร , ช่างไม้ , การก่อสร้าง , เทคนิค ,จิตกรรมและงานฝีมืออื่นๆ
วิถีชีวิตของคนไทย คือ มนุษย์ที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข การดำรงชีวิตของคนไทยที่มีความสัมพันธ์กับวัด วัดเป็นสถานที่ที่คนไทยเคารพนับถือ
ในอดีต วัดไม่เป็นเพียงสถานที่สำคัญสำหรับชาวพุทธ แต่เป็นสถานที่ที่สอนความรู้กับคนไทย พระเปรียบเสมือนครูที่ให้ความรู้กับนักเรียน โรงเรียนวัดมีอยู่ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทยพระเป็นเป็นสิ่งที่คนไทยสัทธา
ดังนั้น วัดจึงเป็นสถานที่สำคัญสำหรับชีวิตคนในอดีต เพราะคนไทยสามารถพัฒนาความรู้ที่ดี สำหรับในการอาศัยอยู่ในสังคม ระหว่างการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ สมัย ร.๕ ได้มีชาวต่างชาติเข้ามาทำการค้าในไทยจำนวนมาก ดังเช่น การเข้าศึกษา โรงเรียนรัฐบาลจะถูกสร้างบริเวณด้านนอกวัด สาสนาพุทธมีผลต่อในชีวิตของคนไทยมาก จากจุดเริ่มต้น จนถึงจุดจบของชีวิตและวัดเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับการทำพิธีกรรมตามทางศาสนาพุทธ
เริ่มแรก ทุกๆเช้า เริ่มตั้งแต่เวลาประมาณ 6.00 – 7.00น พระจะออกเดินทางจากวัดเพื่อมาบิณฑบาตจากชาวบ้าน เพื่อเป็นอาหารสำหรับมื้อเช้าและมื้อกลางวัน
ข้อสอง เมื่อเด็กเกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่จะไปหาพระที่วัดในหมู่บ้านเพื่อข้อคำแนะนำ การตั้งชื่อของเด็กที่เกิดใหม่ เมื่อถึงวันเกิดแล้ว พ่อแม่จะมาลูกไปทำบุญที่วัด เลี้ยงอาหาร หรือ บริจาคสิ่งของ
เมื่อถึงจุดจบของชีวิต
ร่างกายจะถูกเก็บไว้ที่วัดชั่วคราว ระหว่าง 7วันหรือน้อยกว่า หลังจากฌาปนากิจส่วนหนึ่งเสร็จยังคงเก็บส่วนหนึ่งเก็บรักษาไว้ในโกศที่เจดีย์ในวัด
วัดมีส่วนรวมวิถีชีวิตของสังคม พระท่านได้ค้นพบสมุนไพร และวิธีการบำบัดยาเสพติด ที่มีประสิทธิมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ วัดเป็นสถานที่ตั้งที่น่าสนใจและผลิตยาสมุนไพรและเป็นสถานที่สำหรับบำบัดยาเสพติด
แต่พระท่านไม่เป็นเพียงผู้ที่ดูแลรักษาโรค ท่านยังให้การบริการอย่างดีสำหรับผู้ที่มีทุกข์ ,ทรมาน, กระวนกระวาย, สับสน, หรือ เสียสติ เมื่อพวกเขารู้สึกไม่มีความสุขพวกเขาจะไปวัดเพื่อทำจิตใจให้สงบ
เรื่องราวในเศรษฐกิจ ศาสนาพุทธมีบทบาทต่อประเทศไทย ศาสนาสอนให้รู้จักการดำรงชีวิตอยู่อย่างพอเพียง และในครอบครัวอย่างเหมาะสม
นอกจากนั้น วัดศาสนาพุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชนบทให้เป็นเครื่องเตือนสติ ความสามารถในการใช้สมุนไพร , ช่างไม้ , การก่อสร้าง , เทคนิค ,จิตกรรมและงานฝีมืออื่นๆ
ความเชื่อของไทย
ในความเชื่อของไทยวัดถือว่ามีบทบาทมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดมีประโยชน์ มากของคนในหมู่บ้าน วัดเป็นสถานที่ไว้สักการะ คนไปวักเพื่อทำกิจกรรม เช่น พิธีบวช พิธีประจำปีต่างๆในปัจจุบัน การฟังเทศน์ และ สำหรับไปทำพิธีกรรมทางศาสนาโดยเจ้าอาวาสของวัด
วัดเป็นศูนย์ที่พกผ่อนหย่อนใจของหมู่บ้าน งานเฉลิมฉลองประจำปีต่างๆ เช่น สงกรานต์ , ลอยกระทง และ วันปีใหม่ งานวัดทั่วไปยังอนุรักษ์ไว้อยู่ วัดมีความสัมพันธ์มากในชีวิตประจำวันของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความสัทธา วัดเป็นสถานที่สัทธาของไทยมาตลอด ปกติวัดเป็นส่วนรวมและสนามต่างๆ ของเขตหลวงของหน่วยรัฐบาลไทยสามารถใช้ในการประชุมของหน่วยงานและผู้ใหญ่บ้านใช้ในโอกาสต่างๆ
วัดเป็นจุดศูนย์กลางสำหรับในการบูชาและการทำบุญกุศล ความเชื่อทางศาสนาพุทธการไปวัดนั้นไปเพื่อทำบุญให้กับญาติพี่น้องในสวรรค์ หรือ นรก นี้เป็นโอกาสของประชาชน
การศึกษาไทย
ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในหลายๆ เรื่อง เช่น “ประเทศอิสระ” หรือ “ประเทศของเสื้อเหลือง”สรุปประเทศนับถือศาสนาพุทธถึง 95 % และสถิติปัจจุบันวัดในประเทศไทยมีมากกว่า 30,000แห่ง ดังนั้น ศาสนาพุทธมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางในสังคมไทยซึ่งมีบทบาทสำคัญในทางพิธีทางศาสนา ว่าในเมืองหลวง “กรุงเทพฯ” เป็นหน้าที่ของรัฐบาลแห่งชาติ ,มันเป็นเอกลักษณ์ของประชาชน และชีวิตสังคมในประเทศจะวนเวียนอยู่กับวัด วัดเป็นสถานที่สำคัญของชีวิตครอบครัวที่อยู่ในชนบทอีกด้วย กิจกรรมทางศาสนา วัดเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ โรงพยาบาล , สถานที่บำบัด, โรงเรียน ,หน่วยงานอาชีพ ,สำนักงานข่าว,ศูนย์สาธารณชุมชน,คลังเก็บทรัพย์สินของชุมชน, สำนักสวัสดิการสังคม , และศูนย์แหล่งข่าวสาร, ( จากเรื่องราวการศึกษาไทย , PH,D.D.Duangduen Pisanbuta )
เราเห็นได้ว่าวัดเป็นสถานที่ที่สำคัญสำหรับสังคมไทยในทุกๆรูปแบบ ตั้งแต่ สมัยสุโขทัย จนถึง ปัจจุบัน สมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะเขตการศึกษาครั้งแรก โรงเรียนวัดจะตั้งอยู่บริเวณวัด และจัดป็นศูนย์กลางการศึกษาไทย โรงเรียนวัดจะกระจ่ายอยู่ทั่วประเทศ โรงเรียนวัดจะมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ในที่ผ่านมาเพศชายถูกจำกัดการศึกษา มันเป็นวัตถุประสงค์สำคัญในการเตรียม การถือศิลธรรมจริยธรรมและ การบวชทางศาสนา ในชั้นประถมศึกษาจะต้องเรียน การอ่าน การเขียน วิชาภาษาไทย ,ภาษาบาลี และสอนวิชาอื่นๆ เช่น การแกะสลัก , ประติมากรรม , ยา ,และ การนวด เป็นต้น ตัวอย่าง เราสามารถเข้าไปในวัดพระเชตุพนฯ หรือวัดโพธิ์ มีการวิธีการสอนการนวดสำหรับผู้ที่สนใจเรียน นอกจากนั้นถ้าคุณเข้าไปในวัดพระเชตุพนฯ คุณก็จะพบกับแผ่นจารึเขีนสลักตำรายาและตำราการรักษาโรคเล็กๆ
รูปแบบการศึกษาต่างๆได้เข้ามาสู่ประเทศไทยในรัชสมัยเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ิ(รัชกาลที่ 5) โรงเรียนของรัฐบาลมักจุตั้งอยู่ภายในบริเวณวัด ในหลายปีที่ผ่านมาการมีอยู่ของโรงเรียนวัดก็ค่อยๆเปลี่ยนไปโดยกระทรวงศึกษาธิการ พระเริ่มถูกลดบทบาทหน้าที่ในด้านการศึกษา ครูที่ชำนาญเฉพาะด้านถูกฝึกขึ้นมาเพื่อทดแทนครูพระ พระมีวิชาสอนน้อย ซึ่งวิชาที่พระได้รับอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการให้ทำการสอนก็คือ “วิชาเกี่ยวกับการบ้านการเมืองและวิชาจริยธรรม” ปัจจุบันบทาบาททางการศึกาาของพระในการเป็นครูได้จบลง แต่ก็ยังคงมีอยู่บ้าง จากหลักฐานที่ปรากฏตามโรงเรียนใหญ่ๆ ภายใต้การควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการหรือเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐบาลที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้ๆกับวัด ชื่อโรงเรียนส่วนมากจะตั้งให้จำง่ายเพื่อเป็นสัญลักษณ์แก่โรงเรียนของพวกเขา ความทรงจำเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของพระในอดีตพวกเขาจะรู้จักโดยการบรรยายว่า วัดคือโรงเรียน
ปัจจุบันนี้พระในศาสนาพุทธก็ยังคงมีบทบาทในการสร้างโรงเรียนเช่นเคย พวกเขาอาจจะสร้างโรงเรียนตามแบบของเขาเองหรือบางทีอาจจะจ้างบริษัทรับเหมามา เงินที่นำมาจ่ายค่าสิ่งปลูกสร้างได้มาจากการบริจาคเงินของประชาชน ส่วนเรื่องเนื้อหาในการสอนก็ตกลงกันกับกระทรวงศึกษาธิการ การรับนักเรียนก็ไม่มีเงื่อนไขอะไรมากมาย
แม้ว่าในปัจจุบันบันวัดจะถูกละเลยความสำคัญมากกว่าในอดีตอาจเป็นเพราะการศึกษาในปัจจุบันส่วนมากจะถูกดูแลควบคุมโดยกระทรวงศึกษาธิการแต่วัดก็ยังคงมีอิทธิพลต่อคนไทยและการศึกษาของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับศีลธรรมจรรยาที่วันเวียนเกี่ยวข้องกับคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย ความหลากหลายหน้าที่ของพระโดยเฉพาะการปฎิบัติตนของพวกเขาต่อวัด หรือวัดไทยตามที่ได้ยกตัวอย่างมาแล้ว คนไทยได้สร้างความสัมพันธ์แบบปิดระหว่างศาสนาพุธและวิถีชีวิตของพวกเขา เช่นการสร้างบุญกุลทำได้โดยการถวายจตุปัจจัยต่อวัด และเหล่าฆราวาสแห่งชุมชนนั้นๆก็สามารถสร้างบุญกุศลได้จากการกระทำประโยชน์ต่อวัด เช่น คนกรุงเทพฯบริจาคเงินช่วยเหลือการปฎิสังขรสิ่งก่อสร้างของวัด และเข้าร่วมการทอดกระถินอย่างเป็นทางการ บางคนก็บริจาคเป็นแรงกาย เช่น ช่างแกะสลัก ช่างหล่อ ที่ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปให้กับวัด
นอกจากนั้นคนไทยยังเชื่อว่าทุกคนควรมีความเมตตาและกรุณา บวกกับคุณธรรมด้านอื่นๆ จึงจะเป็นคนดี และเชื่อว่า การทำดีย่อมได้ดี และการทำชั่วย่อมได้ชั่ว เป็นข้อคิดเห็นเกี่ยวกับศีลธรรมที่ผูกมัดคนทุกคนในสังคม
นอกจากนี้คนไทยยังอบรมให้ชายไทยรู้จักบวชเพื่อทดแทนคุณบิดามารดา ชาวพุทธเชื่อว่าผู้ชายที่ดีและสมบูรณ์จะต้องบวช พิธีการบวชถือเป็นประเพณีที่คนไทยถือว่าเป็นการทดแทนคุณบิดามารดา
วัดไทยเป็นวัดพุทธซั่งเป็นศาสนาที่คนไทยนับถือกันมาก ซึ่งมีกลิ่นไอของศาสนาฮินดูที่เชื่อในเรื่องของวิญาณ สิ่งเร้นลับ เรื่องเหลือเชื่อ และไสยศาสตร์ มีหลักบังคับที่ไม่กดดันและเคร่งครัดจนเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ศาสนาพุทธกับวิถีชีวิตของคนไทยกลมกลืนกัน ศาสพระภูมิเป็นสิ่งปลูกสร้างที่เป็นรูปแบบลักษณะของบ้านเรือนและวัดของคนไทยในอดีต ซึ่งจะพบได้ที่บ้านคนและวัด เป็นสิ่งปลูกสร้างที่สร้างให้สามารถเคลื่อนย้ายไปมาได้ไม่ยากนัก และเป็นสิ่งที่ชาวพุทธให้ความเคารพนับถือ
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเกี่ยวกับวัดของคนไทยในปัจจุบันก็ได้มีการเปลี่ยนไป บวกกับการรับเอาวิชาและเทคโนโลยีมาจากชาตะตะวันตก ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมาก เศรฐกิจมีการเติบโตมากขึ้นและวิถีชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไปดังนั้นจึงทำให้ความเชื่อของคนไทยก็เปลี่ยนไปด้วย
วัดมีบทบาทสำคัญน้อยลงกว่าเมื่อก่อน คนไปวัดกันน้อยลง วัดเป็นสถานที่ไปบางโอกาสและไม่ได้เป็นสถานที่ที่ปลดปล่อยอารมณ์ของพวกเขา ทำให้การไปวัดน้อยลง คุณจะเห็นได้บ่อยที่คนในกรุงเทพกว่าเด็กวัยรุ่นกว่า 95% ไม่เคยยจะเข้าวัดเพื่อฟังการเทศนาและมีการนับถือน้อยลงกว่าเดิมอีกด้วย อาจเป็นไปได้ว่าเป็นเพราะการประพฤติตัวของพระที่ทำไม่ดี ไม่ประพฤติให้ถูกทางเหมาะสม และทำอะไรที่ผิดศีลธรรมซึ่งคนสามารถรับรู้ได้จากข่าวในโทรทัศน์
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่วัดก็ยังคงเป็นสถานที่ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของศาสนาพุทธและเป็นสถานที่ที่คนไทยยังคงเคารพสักการะเช่นเคย ดังนั้นเราควรจะทำนุบำรุงศาสนสถานเพื่อเป็นสถานที่ที่ทำให้เรานึกถึงระลึกถึงความสำคัญของวัด
วัฒนธรรมและประเพณีไทย
การไหว้
การไหว้มิได้เป็นการกล่าวทักทายโดยปราศจากคำพูดเท่าทั้นแต่มันเป็นการแสดงการเคารพนับถือกัน ตัวอย่างเช่น การใช้มันในการแสดงการให้เกียรติกันและกิริยามารยาท มันมีความหมายมากในการกระทำของสังคมที่สนับสนุนโครงสร้างทางสังคมไทย การไหว้เป็นการเคารพกันของคนในสังคม ก้มหัวลงให้สัมผัสกับนิ้วหัวแม่มือทั้งสอง เหล่านี้เป็นการแสดงความเคารพ มี 4 ท่าทาง ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
1.ยกมือแนบแขนกับลำตัว ปลายนิ้วมืออยู่ประมาณลำคอ แต่ไม่เหนือคาง (แม้บางครั้งจะแสดงในบางวิธีการและการแนะนำตัว)
2.มืออยู่ตำแหน่ง1 หรือต่ำกว่า ก้มหัวลงเล็กน้อย ถูกใช้เมื่อไหว้ผู้เหนือกว่าไปยังผู้ที่ต่ากว่า
3.ก้มศีรษะลงให้ปลายนิ้วมืออยู่เหนือจมูก ใช้ทำความเคารพผู้ที่น้อยกว่าไปถึงผู้ที่อาวุโสกว่า
4.ยกมือให้นิ้วหัวแม่มืออยู่กลางหน้าผากระหว่างคิ้ว ในชีวิตประจำวัน การไหว้นี้ใช้เวลาเจอหน้ากัน และในสังคมตามตำแหน่งหน้าที่ การแสดงความเคารพยังคงวนเวียนอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทยตอลอดเวลา เ
พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์
ตามหลักการไว้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ ในการไหว้พระพุทธเจ้า ขั้นตอนคือ คุกเข่าลงไหว้ ในการนั่งวางตัว (ผู้ชายวางตัวบนส้นเท้า) ผู้หยิงจะนั่งอยู่กับขาสองข้าง แล้วก่อมศีรษะและลำตัวลงเล็กน้อย ขณะมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อทำความเคารพ ควรพูดให้เหมาะสมกับสถานที่ตั้งนั่งหลังให้ตรง กราบสามครั้งเพื่อกราบพระพุทธเจ้า
ความหมาย
การไหว้แสดงว่ามือว่างเปล่าไม่มีอาวุธ เป็นการแสดงความจริงใจและเป็นมิตร การไหว้ในอดีตเกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งมาจากที่ชาวตะวันตกจับมือผู้อื่นเป็นการทักทาย แต่การไหว้เป็นอะไรที่มากกว่าการจับมือทักทาย การจับมือทักทายเป็นการทำกันของคนที่มีความท่าเทียมกัน แต่การไหว้เป็นการแสดงความเคารพต่อผู้มีอาวุโสกว่าหรือที่เราเคารพ ผู้น้อยต้องเป็นผู้ที่เริ่มว่ายก่อนเสมอ ผู้มีอาวุโสกว่าจะไหว้กลับหรือไม่ก็ได้ในขณะที่พระสงฆ์เขาจะไม่ไหว้พระมหากษัตริย์หรือราชินีและพระสงฆ์ได้รับการอนุญาตให้ไม่ต้องไหว้กลับ
การไหว้กลับ
กษัตริย์ไม่ไหว้ประชากรของเขา (ยกเว้นจะเป็นพระสงฆ์) ขณะที่พระราชินีอังกฤษเองก็ไม่จับมือกับคนที่ห่างระหว่างคนสองคนมีมาก ไม่ต้องไหว้กลับคืน ดังนั้นถ้าอายุมากกว่ากว่ามาก จะตอบรับด้วยการยิ้มหรือพยักหน้าได้
ไหว้เมื่อไหร่
การไหว้อย่างไรเป็นการเรียนรู้แรกสุดของวัยเด็ก มันเกิดขึ้นโดยกำเนิดสำหรับคนไทย แต่เป็นปัญหาของผู้มาเยี่ยมเยียนที่มีอคติเกี่ยวกับความเสมอภาค พฤติกรรมที่เหมาะสม กฎของการเรียน และทำให้ได้ความคิดเห็นซึ่งสามารถเรียนรู้ได้โดยการสังเกตุโครงสร้างและสถานภาพด้วยตัวเอง คุณจะสังเกตคนไทยเหล่านั้น คนที่อาวุโสกว่าจะไม่ไหว้คุณ ไม่ใช่เพราะคุณไม่ใช่คนไทย มีวัฒนธรรมต่างกัน แต่เป็นเพราะคุณอายุน้อยกว่า
การไหว้เป็นการแสดงความขอบคุณโดยปราศจากคำพูด ใช้กันแพร่หลายในกลุ่มคนไทย แต่ก็ไม่ได้ง่ายเนื่องจากภาษาเป็นอุปสรรคในการสื่อสารสำหรับผู้ที่มาเยือน ผู้น้อยกับผู้น้อยเป็นสัญลักษณ์ของความเมตตา ดังนั้นการไห้วจะแสดงความขอบคุณแก่ผู้อาวุโสกว่าไปยังผู้น้อย เมื่อเราต้อนรับชาวต่างชาติก็ควรจะแสดงความเคารพอย่างไทยๆ เช่น การไหว้ เพื่อให้คนต่างชาติได้รู้จักและเข้าใจซึ่งจะเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลและสำคัญกับสังคมไทยต่อไปในอนาคต สิ่งที่ดีที่สุดในการแนะนำตัว คือ ถ้าไม่รับไหว้ก็ให้จับมือกับผู้ชายและยิ้มอย่างสุภาพให้ผู้หญิง
การวางตัวในสังคม
1.ไม่ไหว้คนใช้ คนงาน และประชาชนคนอื่นๆที่มีฐานะตำกว่าทางสังคม
2.ถ้าคุณมีประการไหว้สูง ตอบสนองการก้มไหว้
3.การไหว้ของประชาชนที่มั่นคงคือการไหว้พระและคนที่แก่กว่ามาก
4.การว่างตัวให้เหมาะสมเป็นการแสดงโดยการก้มศีรษะและร่างกายลง โดยไม่ยกมือขึ้น (กุมมือ ไหว้มือเหนือศีรษะ ยืนตัวตรง เป็นการไม่แสดงความนับถือ)
การจำ : การไหว้ไม่ใช่เพียงการสวัสดี มันเป็นอะไรที่มีความหมายมากกว่านั้น มันมีความหมายโดยตัวมันเอง
รอยยิ้ม
สิ่งหนึ่งที่แน่นอนว่าผู้ที่จะมาเยี่ยมเยือนประเทศไทยนั้นต้องเคยได้ยินมาก่อนบ้างแล้วคือ ประเทศไทยเป็นเมืองแห่งรอยยิ้ม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สยามเมืองยิ้มนั่นเอง และเมื่อพวกเขามาที่ประเทศไทยก็จะพบว่าสิ่งที่ได้ยินมานั้นเป็นเรื่องจริง เพราะคนไทยมักจะมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
ใบหน้าที่ร่าเริงแจ่มใส มักจะเป็นสิ่งที่ผู้มาเยือนมักจะได้พบเห็นอยู่เสมอ หรือบางทีอาจจะได้ยินมาว่าคนไทยเป็นคนที่มีความสุขมาก หรือเป็นคนที่พอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาได้ทราบกันนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับความจริงที่สุด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดเสมอไป
ในขณะที่เราอยากให้คุณทำในสิ่งที่คุณอยากทำ เดินหน้าทำในสิ่งที่คุณต้องการต่อไป และสนุกไปพร้อมๆกับรอยยิ้มโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก เราเข้าใจว่าอาจจะมีสักวัน เมื่อคุณถามตัวเองว่า คนพวกนี้เขายิ้มอะไรกัน คนส่วนมากอยู่บนพื้นฐานของสังคมที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน ยิ่งพูดกันมากก็ยิ่งมากเรื่อง ดังนั้นพวกเขาจะยิ้มเพื่ออะไร
เบื้องหลังรอยยิ้ม
คนไทยจะไม่ยิ้มตลอดเวลา แต่รอยยิ้มของพวกเขานั้นไม่ใช่ไม่มีความหมาย ทางด้านตะวันตกคนยิ้มส่วนใหญ่เพื่อแสดงถึงอารมณ์ และสถานการณ์ต่าง ๆ รอยยิ้มจะทำให้หลุดจากสถานที่นั้นหรือแม้แต่สิ่งที่ไม่ดี การพยายามที่จะยิ้ม หรือหัวเราะให้แก่ใครบางคนเป็นสิ่งที่เราจะทำนอกเหนือจากความสามารถที่เราต้องทำ คนตะวันตกมักจะมีอารมณ์ดูถูก และไม่ค่อยเป็นมิตร เพราะฉะนั้นคุณจะยิ้มเพื่ออะไร ในตะวันตกจะยิ้มเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ในประเทศไทย การยิ้มคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติของชีวิต อย่างไรก็ตามหน้าที่ในการบริการสังคม และการวิเคราะห์ที่มากเกินไป รวมทั้งการแบ่งแยกชนิดของสิ่งสวยงามนี้ และธรรมชาติของพฤติกรรม เราจึงจำแนกได้ตามนี้
1. สันทนาการ
การยิ้ม และการหัวเราะบ่อย ๆ สำหรับคนไทย เป็ฯการแสดงถึงความอภิรมย์ อย่างไรก็ตามในขณะที่ชาวตะวันตกไม่หัวเราะเมื่อเห็นคนลื่นเปลือกกล้วย (ถ้าไม่ใช่ในการ์ตูน) แต่คนไทยจะหัวเราะ นี่ไม่ได้หมายความว่า เขาไม่เห็นอกเห็นใจกัน แต่คนไทยแค่อยากจะช่วยลดความรู้สึกแย่ที่เหยียบเปลือกกล้วยเท่านั้นเอง
2. ขอโทษ
ตัวอย่างข้างต้น การยิ้มนั้นอาจทำได้ทันทีสำหรับกรณีของเปลือกกล้วย แต่มันรวมถึงการขอโทษในสิ่งที่เราทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจด้วย เมื่อรอยยิ้มตอบกลับมา มันแสดงถึงการให้อภัย รอยยิ้มอาจถูกใช้สำหรับหลากหลายเหตุผลเป็นพันครั้งต่อวันบ่อยครั้งที่ผู้มาเยี่ยมเยือนจะรู้สึกบรรเทาที่จะได้ยินเรื่องราวที่ซีเรียสน้อยกว่าตัวอย่างข้างต้น
ในโรงอาหารคุณกำลังเข้าแถวที่เคลื่อนไปอย่างช้าๆ เพื่อซื้ออาหารกลางวัน และกำลังตัดสินใจที่จะเลือกอาหาร คุณเดินรอบ ๆ ผู้คนที่ยังคงเลือกและโต้แย้งเรื่องอาหารบนจอแสดง และร่วมอยู่ในแถวที่ไกลออกไป กรณีนี้ การข้ามคิวในแถว น่าจะเป็นที่ยอมรับได้และให้ผู้ที่เลือกอาหารได้ก่อนเป็นผู้ซื้อก่อน ในขณะที่บางคนยังคงเลือกอยู่ ไม่ต้องมีการออกจากแถว และไม่ต้องมีการขอโทษที่ประณีตใด ๆ เพียงแค่คุณยิ้ม เขายิ้ม และทุก ๆ สิ่งจะถูกต้อง
ผู้มาเยือนที่ช่างสังเกตจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็วที่การยิ้มเป็นกลวิธีที่ถูกต้อง สำหรับแก้ไขมารยาทพื้นฐานต่าง ๆ ที่แตกหัก มันอาจจะต้องใช้เวลานานที่จะเข้าใจว่ารอยยิ้มสามารถนำไปใช้ในการขอโทษต่อการกระทำนั้นในวัฒนธรรมของเขา ไม่ว่าจะเป็นการชี้แจงเรื่องต่าง ๆ ที่ซับซ้อนก็สามารถเป็นไปได้ และค่าชดเชยต่าง ๆ ก็สามารถลดลงได้ด้วยรอยยิ้ม ถ้าผู้มาเยือนคิดว่าเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากในประเทศไทย เขาสามารถแบ่งปันความคิดกับคนอื่น ๆ ได้
นักเรียนไทยในผับที่ลอนดอนคนหนึ่ง ยืนอยู่ที่บาร์ที่แสนเบียดเสียดมีเหยือกเบียร์ที่เหมือนกันอยู่ เขาหยิบแก้วผิดขึ้นมา และดื่มมันโดยที่ไม่ได้เจตนา เขายิ้ม และชี้แจงทุกอย่างด้วยดี
3. ขอบคุณ
การยิ้มถูกใช้เพื่อขอบคุณใครสักคนสำหรับการช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ ดังที่เราชี้แจงภายใต้ช่วงเวลาพูดคุยระยะสั้น คำว่า “ขอบคุณ” ถูกใช้บ่อยทางตะวันตก ในประเทศไทยการยิ้มบางทีประกอบไปกับการผงกหัวเล็ก ๆ นั้นหมายความว่า ขอบคุณเล็กน้อย การยิ้มกลับสามารถถูกแปลความหมายได้ว่า “โอ้! ฉันถูกต้อง”
4. หลีกหนี
สองฟังค์ชั่นสุดท้ายของการยิ้มที่เราจะเรียนรู้กัน ต้องมีความใจเย็น ปรัชญาของการหลีกเลี่ยงการต่อสู้ วัตถุประสงค์ส่วนมากของพฤติกรรมสังคมไทย คนไทยบางคนสามารถยิ้มในรูปแบบของเขา เพื่อออกจากสถานการณ์ต่าง ๆ แต่ระวังการหลีกเลี่ยงการใช้คำ หรือการกระทำที่จะทำให้เสียใจในภายหลัง พฤติกรรมแบบนี้ทำให้ฝรั่งหลายคนโกรธ แต่คนไทยกลับเคารพในเรื่องนี้ ผู้ที่เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดของการหลบหลีกในไม่กี่ปีทีผ่านมาคือ การดำรงชีวิตเกียรติยศของเขา อย่างน้อยที่สุด ความสามารถในการยิ้มแบบเขาทำให้ผ่านเรื่องราวที่ยากลำบากมากมาย และทำให้ทุก ๆ คนยิ้มกับเขา
การยิ้มแบบหลบหลีกไม่ต้องมีคำใดมาประกอบ และบางทีสามารถแปลได้ดีที่สุดว่า “ไม่มีความเห็น” มันเป็นบทบาทที่ใช้ออกจากแนวทางได้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
5. แสดงความลำบากใจ
การยิ้มแบบลำบากใจ เป็นการกระทำเพื่อหลบหลีกการต่อสู้ด้วยเช่นกัน แต่แสดงความผิดของผู้ยิ้ม และความเต็มใจที่จะแก้ไขความผิดของเขา การถอยหลังชนหน้ารถของใครบางคน หรือการยิงกระสุนปืนผ่านเพดานที่เรากำลังเล่นกับมันท่ามกลางฝูงชนในภัตตาคาร เป็นสถานการณ์ที่ทำให้เกิดการต่อสู้ได้ในหลาย ๆ ประเทศ (ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ ในประเทศไทย) การยิ้ม (แต่ไม่ใช่การหัวเราะลั่น) สามารถแสดงถึงความลำบากใจของคุณและขจัดสถานการณ์ที่อาจจะระเบิดได้ แน่นอนนี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสำหรับการยิ้มขอโทษ คำขอโทษ และความพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ถูกต้อง และถ้าจำเป็นที่จะชดเชยค่าเสียหายแก่ผู้เคราะห์ร้าย ควรที่จะยิ้มแสดงความอึดอัดใจและก้มโค้งด้วย อีกทางเลือกหนึ่งที่ประเทศไทยเหมือนกันหมดคือ การหลบหนีการต่อสู้โดยใช้ความรุนแรงและหลบหนีไป
รอยยิ้มทำให้คุณสวย
นี่ไม่ได้หมายความถึงเรื่องราวที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแบบไทย ๆ ที่ค่อนข้างซับซ้อนมากเหมือนกับ Wai การยิ้มที่เหมือนคิ้วขมวดและหาวนั้นเป็นโรคติดต่อ ผู้มาเยือนจะพบอย่างรวดเร็วว่าตนกำลังใช้มัน แน่นอน เขาจะทำพลาดเมื่อเขากลับบ้านแล้ว อย่าคิดมากเกี่ยวกับการยิ้ม สนุกกับมัน ทำถึงแม้ว่าจะรู้ว่ามันเป็นรอยยิ้มกว้าง ๆ จากเด็กผู้หญิงน่ารักที่ขายดอกไม้อยู่มุมถนน ไม่จำเป็นที่จะต้องหมายความว่าเธอรักคุณอย่างมาก แต่ ควรยิ้มกลับไป การยิ้มทำให้คุณสวยและดูอ่อนเยาว์ด้วย
2.4 Thai Social System ระบบสังคมไทย
ในระบบสังคมไทย หมู่บ้านเป็นหน่วยหนึ่งซึ่งอดีต จะเป็นหนึ่งในระบบพื้นฐาน โดยพื้นฐานของคนไทยจะอยู่บนฐานทางด้านเกษตรกรรมและศาสนา หมู่บ้านส่วนมากจึงมีวัดและศาลเจ้าประจำหมู่บ้านสำหรับการบูชา วัดให้ความต้องการทางด้านจิตใจได้ดีพอๆ กับการศึกษาของคน ทั้งศิลปะ หัตถกรรม และการเรียนรู้ต่างๆ ถูกส่งผ่านมาจากวัด ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เป็นวงจร เป็นแหล่งรวมตัวของคนในชุมชนช่วงการจัดงานเทศการ ขณะเดียวกัน ศาลเจ้าของหมู่บ้านถูกใช้งานในช่วงที่เกิดความยากลำบากหรือเซ่นไหว้วันขึ้นปีใหม่เท่านั้น ไม่ต้องสงสัยว่าชาวพุทธมีความละเอียดอ่อนกับความเชื่อว่ามีวิญญาณในธรรมชาติและจักวาลมากในกลุ่มคนเหล่านี้
ระบบสังคม ลักษณะนิสัยและขนบธรรมเนียมปรากฏในยุคสมัยใหม่อย่างผิวเผิน การเปลี่ยนแปลงรากฐานทางวัฒนธรรม พัฒนาไปเรื่อยๆระหว่างการสื่อสารแบบเก่าและใหม่ในขณะที่ผู้คนยังอยู่ในวิถีแบบเดิมอยู่ สวนทางกันในตัวเมืองหลวงและเขตเมืองใหญ่ โดยเรียกว่า ช่วงการเปลี่ยนแปลงของยุคเก่า คนเก่าเก่าจากไป และวัฒนธรรมใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่
2.5 Social Values คุณค่าทางสังคม
ประเพณีในไทย จะพบเห็นอย่างเด่นชัดในระดับหมู่บ้าน แม้แต่ในเขตชุมชนเมืองและในระดับประเทศก็มี ซึ้งระดับหมู่บ้านจะแผ่ขยายมาจากระบบครอบครัวโดยศาสนาก็จะมีอิทธิพลกับการปกครองและทัศนคติโดยรวมของคนไทย
พุทธศาสนิกชนถือเรื่องผลกระทบทางด้านจิตใจเป็นสิ่งสำคัญมาก จะพบได้ในเรื่องทั่วๆ ไปเช่นคำว่าไม่ไร เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นจากการกระทำรวมกับสิ่งหนึ่งอาจถือว่าเป็นผลของกรรมที่ทำมาก่อนหน้านี้
สิ่งหนึ่งที่แน่นอนว่าผู้ที่จะมาเยี่ยมเยือนประเทศไทยนั้นต้องเคยได้ยินมาก่อนบ้างแล้วคือ ประเทศไทยเป็นเมืองแห่งรอยยิ้ม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สยามเมืองยิ้มนั่นเอง และเมื่อพวกเขามาที่ประเทศไทยก็จะพบว่าสิ่งที่ได้ยินมานั้นเป็นเรื่องจริง เพราะคนไทยมักจะมีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา
ใบหน้าที่ร่าเริงแจ่มใส มักจะเป็นสิ่งที่ผู้มาเยือนมักจะได้พบเห็นอยู่เสมอ หรือบางทีอาจจะได้ยินมาว่าคนไทยเป็นคนที่มีความสุขมาก หรือเป็นคนที่พอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาได้ทราบกันนั้นเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับความจริงที่สุด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมดเสมอไป
ในขณะที่เราอยากให้คุณทำในสิ่งที่คุณอยากทำ เดินหน้าทำในสิ่งที่คุณต้องการต่อไป และสนุกไปพร้อมๆกับรอยยิ้มโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรมาก เราเข้าใจว่าอาจจะมีสักวัน เมื่อคุณถามตัวเองว่า คนพวกนี้เขายิ้มอะไรกัน คนส่วนมากอยู่บนพื้นฐานของสังคมที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน ยิ่งพูดกันมากก็ยิ่งมากเรื่อง ดังนั้นพวกเขาจะยิ้มเพื่ออะไร
เบื้องหลังรอยยิ้ม
คนไทยจะไม่ยิ้มตลอดเวลา แต่รอยยิ้มของพวกเขานั้นไม่ใช่ไม่มีความหมาย ทางด้านตะวันตกคนยิ้มส่วนใหญ่เพื่อแสดงถึงอารมณ์ และสถานการณ์ต่าง ๆ รอยยิ้มจะทำให้หลุดจากสถานที่นั้นหรือแม้แต่สิ่งที่ไม่ดี การพยายามที่จะยิ้ม หรือหัวเราะให้แก่ใครบางคนเป็นสิ่งที่เราจะทำนอกเหนือจากความสามารถที่เราต้องทำ คนตะวันตกมักจะมีอารมณ์ดูถูก และไม่ค่อยเป็นมิตร เพราะฉะนั้นคุณจะยิ้มเพื่ออะไร ในตะวันตกจะยิ้มเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ในประเทศไทย การยิ้มคือส่วนหนึ่งของธรรมชาติของชีวิต อย่างไรก็ตามหน้าที่ในการบริการสังคม และการวิเคราะห์ที่มากเกินไป รวมทั้งการแบ่งแยกชนิดของสิ่งสวยงามนี้ และธรรมชาติของพฤติกรรม เราจึงจำแนกได้ตามนี้
1. สันทนาการ
การยิ้ม และการหัวเราะบ่อย ๆ สำหรับคนไทย เป็ฯการแสดงถึงความอภิรมย์ อย่างไรก็ตามในขณะที่ชาวตะวันตกไม่หัวเราะเมื่อเห็นคนลื่นเปลือกกล้วย (ถ้าไม่ใช่ในการ์ตูน) แต่คนไทยจะหัวเราะ นี่ไม่ได้หมายความว่า เขาไม่เห็นอกเห็นใจกัน แต่คนไทยแค่อยากจะช่วยลดความรู้สึกแย่ที่เหยียบเปลือกกล้วยเท่านั้นเอง
2. ขอโทษ
ตัวอย่างข้างต้น การยิ้มนั้นอาจทำได้ทันทีสำหรับกรณีของเปลือกกล้วย แต่มันรวมถึงการขอโทษในสิ่งที่เราทำผิดโดยไม่ได้ตั้งใจด้วย เมื่อรอยยิ้มตอบกลับมา มันแสดงถึงการให้อภัย รอยยิ้มอาจถูกใช้สำหรับหลากหลายเหตุผลเป็นพันครั้งต่อวันบ่อยครั้งที่ผู้มาเยี่ยมเยือนจะรู้สึกบรรเทาที่จะได้ยินเรื่องราวที่ซีเรียสน้อยกว่าตัวอย่างข้างต้น
ในโรงอาหารคุณกำลังเข้าแถวที่เคลื่อนไปอย่างช้าๆ เพื่อซื้ออาหารกลางวัน และกำลังตัดสินใจที่จะเลือกอาหาร คุณเดินรอบ ๆ ผู้คนที่ยังคงเลือกและโต้แย้งเรื่องอาหารบนจอแสดง และร่วมอยู่ในแถวที่ไกลออกไป กรณีนี้ การข้ามคิวในแถว น่าจะเป็นที่ยอมรับได้และให้ผู้ที่เลือกอาหารได้ก่อนเป็นผู้ซื้อก่อน ในขณะที่บางคนยังคงเลือกอยู่ ไม่ต้องมีการออกจากแถว และไม่ต้องมีการขอโทษที่ประณีตใด ๆ เพียงแค่คุณยิ้ม เขายิ้ม และทุก ๆ สิ่งจะถูกต้อง
ผู้มาเยือนที่ช่างสังเกตจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็วที่การยิ้มเป็นกลวิธีที่ถูกต้อง สำหรับแก้ไขมารยาทพื้นฐานต่าง ๆ ที่แตกหัก มันอาจจะต้องใช้เวลานานที่จะเข้าใจว่ารอยยิ้มสามารถนำไปใช้ในการขอโทษต่อการกระทำนั้นในวัฒนธรรมของเขา ไม่ว่าจะเป็นการชี้แจงเรื่องต่าง ๆ ที่ซับซ้อนก็สามารถเป็นไปได้ และค่าชดเชยต่าง ๆ ก็สามารถลดลงได้ด้วยรอยยิ้ม ถ้าผู้มาเยือนคิดว่าเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากในประเทศไทย เขาสามารถแบ่งปันความคิดกับคนอื่น ๆ ได้
นักเรียนไทยในผับที่ลอนดอนคนหนึ่ง ยืนอยู่ที่บาร์ที่แสนเบียดเสียดมีเหยือกเบียร์ที่เหมือนกันอยู่ เขาหยิบแก้วผิดขึ้นมา และดื่มมันโดยที่ไม่ได้เจตนา เขายิ้ม และชี้แจงทุกอย่างด้วยดี
3. ขอบคุณ
การยิ้มถูกใช้เพื่อขอบคุณใครสักคนสำหรับการช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ ดังที่เราชี้แจงภายใต้ช่วงเวลาพูดคุยระยะสั้น คำว่า “ขอบคุณ” ถูกใช้บ่อยทางตะวันตก ในประเทศไทยการยิ้มบางทีประกอบไปกับการผงกหัวเล็ก ๆ นั้นหมายความว่า ขอบคุณเล็กน้อย การยิ้มกลับสามารถถูกแปลความหมายได้ว่า “โอ้! ฉันถูกต้อง”
4. หลีกหนี
สองฟังค์ชั่นสุดท้ายของการยิ้มที่เราจะเรียนรู้กัน ต้องมีความใจเย็น ปรัชญาของการหลีกเลี่ยงการต่อสู้ วัตถุประสงค์ส่วนมากของพฤติกรรมสังคมไทย คนไทยบางคนสามารถยิ้มในรูปแบบของเขา เพื่อออกจากสถานการณ์ต่าง ๆ แต่ระวังการหลีกเลี่ยงการใช้คำ หรือการกระทำที่จะทำให้เสียใจในภายหลัง พฤติกรรมแบบนี้ทำให้ฝรั่งหลายคนโกรธ แต่คนไทยกลับเคารพในเรื่องนี้ ผู้ที่เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดของการหลบหลีกในไม่กี่ปีทีผ่านมาคือ การดำรงชีวิตเกียรติยศของเขา อย่างน้อยที่สุด ความสามารถในการยิ้มแบบเขาทำให้ผ่านเรื่องราวที่ยากลำบากมากมาย และทำให้ทุก ๆ คนยิ้มกับเขา
การยิ้มแบบหลบหลีกไม่ต้องมีคำใดมาประกอบ และบางทีสามารถแปลได้ดีที่สุดว่า “ไม่มีความเห็น” มันเป็นบทบาทที่ใช้ออกจากแนวทางได้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น
5. แสดงความลำบากใจ
การยิ้มแบบลำบากใจ เป็นการกระทำเพื่อหลบหลีกการต่อสู้ด้วยเช่นกัน แต่แสดงความผิดของผู้ยิ้ม และความเต็มใจที่จะแก้ไขความผิดของเขา การถอยหลังชนหน้ารถของใครบางคน หรือการยิงกระสุนปืนผ่านเพดานที่เรากำลังเล่นกับมันท่ามกลางฝูงชนในภัตตาคาร เป็นสถานการณ์ที่ทำให้เกิดการต่อสู้ได้ในหลาย ๆ ประเทศ (ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ ในประเทศไทย) การยิ้ม (แต่ไม่ใช่การหัวเราะลั่น) สามารถแสดงถึงความลำบากใจของคุณและขจัดสถานการณ์ที่อาจจะระเบิดได้ แน่นอนนี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสำหรับการยิ้มขอโทษ คำขอโทษ และความพยายามแก้ไขสถานการณ์ให้ถูกต้อง และถ้าจำเป็นที่จะชดเชยค่าเสียหายแก่ผู้เคราะห์ร้าย ควรที่จะยิ้มแสดงความอึดอัดใจและก้มโค้งด้วย อีกทางเลือกหนึ่งที่ประเทศไทยเหมือนกันหมดคือ การหลบหนีการต่อสู้โดยใช้ความรุนแรงและหลบหนีไป
รอยยิ้มทำให้คุณสวย
นี่ไม่ได้หมายความถึงเรื่องราวที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแบบไทย ๆ ที่ค่อนข้างซับซ้อนมากเหมือนกับ Wai การยิ้มที่เหมือนคิ้วขมวดและหาวนั้นเป็นโรคติดต่อ ผู้มาเยือนจะพบอย่างรวดเร็วว่าตนกำลังใช้มัน แน่นอน เขาจะทำพลาดเมื่อเขากลับบ้านแล้ว อย่าคิดมากเกี่ยวกับการยิ้ม สนุกกับมัน ทำถึงแม้ว่าจะรู้ว่ามันเป็นรอยยิ้มกว้าง ๆ จากเด็กผู้หญิงน่ารักที่ขายดอกไม้อยู่มุมถนน ไม่จำเป็นที่จะต้องหมายความว่าเธอรักคุณอย่างมาก แต่ ควรยิ้มกลับไป การยิ้มทำให้คุณสวยและดูอ่อนเยาว์ด้วย
2.4 Thai Social System ระบบสังคมไทย
ในระบบสังคมไทย หมู่บ้านเป็นหน่วยหนึ่งซึ่งอดีต จะเป็นหนึ่งในระบบพื้นฐาน โดยพื้นฐานของคนไทยจะอยู่บนฐานทางด้านเกษตรกรรมและศาสนา หมู่บ้านส่วนมากจึงมีวัดและศาลเจ้าประจำหมู่บ้านสำหรับการบูชา วัดให้ความต้องการทางด้านจิตใจได้ดีพอๆ กับการศึกษาของคน ทั้งศิลปะ หัตถกรรม และการเรียนรู้ต่างๆ ถูกส่งผ่านมาจากวัด ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย เป็นวงจร เป็นแหล่งรวมตัวของคนในชุมชนช่วงการจัดงานเทศการ ขณะเดียวกัน ศาลเจ้าของหมู่บ้านถูกใช้งานในช่วงที่เกิดความยากลำบากหรือเซ่นไหว้วันขึ้นปีใหม่เท่านั้น ไม่ต้องสงสัยว่าชาวพุทธมีความละเอียดอ่อนกับความเชื่อว่ามีวิญญาณในธรรมชาติและจักวาลมากในกลุ่มคนเหล่านี้
ระบบสังคม ลักษณะนิสัยและขนบธรรมเนียมปรากฏในยุคสมัยใหม่อย่างผิวเผิน การเปลี่ยนแปลงรากฐานทางวัฒนธรรม พัฒนาไปเรื่อยๆระหว่างการสื่อสารแบบเก่าและใหม่ในขณะที่ผู้คนยังอยู่ในวิถีแบบเดิมอยู่ สวนทางกันในตัวเมืองหลวงและเขตเมืองใหญ่ โดยเรียกว่า ช่วงการเปลี่ยนแปลงของยุคเก่า คนเก่าเก่าจากไป และวัฒนธรรมใหม่ก็จะเข้ามาแทนที่
2.5 Social Values คุณค่าทางสังคม
ประเพณีในไทย จะพบเห็นอย่างเด่นชัดในระดับหมู่บ้าน แม้แต่ในเขตชุมชนเมืองและในระดับประเทศก็มี ซึ้งระดับหมู่บ้านจะแผ่ขยายมาจากระบบครอบครัวโดยศาสนาก็จะมีอิทธิพลกับการปกครองและทัศนคติโดยรวมของคนไทย
พุทธศาสนิกชนถือเรื่องผลกระทบทางด้านจิตใจเป็นสิ่งสำคัญมาก จะพบได้ในเรื่องทั่วๆ ไปเช่นคำว่าไม่ไร เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นจากการกระทำรวมกับสิ่งหนึ่งอาจถือว่าเป็นผลของกรรมที่ทำมาก่อนหน้านี้
Conclusion สรุป
ก่อนที่จะมีอิทธิพลชาวพุทธจะแผ่ไปทั่วทั้งอาณาจักร ประเทศไทยทุกวันนี้มีลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว( ด้านความเชื่อ ด้านการศึกษา) ทั้งตัวอักษรของตัวเอง อาหารประจำชาติ ศิลปะ ความเชื่อและทัศนคติ เรื่องราวของประเทศไทยในอดีตและปัจจุบันถูกเปิดขึ้นจากแรงกระตุ้นจากนานาชาติได้เป็นผลสำเร็จ
วิถีชีวิตแบบไทยกับมนุษยชาติ และเกี่ยวข้องกับ วัดเพราะคนไทยพัฒนาองค์ความรู้ของตนจากการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่เขาอยู่ ชาวพุทธเอาใจใส่สิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตตั้งแต่เกิดจนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต